การเจาะน้ำบาดาลสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและความลึกของชั้นน้ำบาดาล แต่ละวิธีมีความเหมาะสมและข้อจำกัดเฉพาะ ดังนี้คือประเภทการเจาะน้ำบาดาลแบบต่างๆ:
1. การเจาะแบบมือหมุน (Hand Auger)
- เป็นวิธีการเจาะที่ใช้แรงงานคนในการหมุนอุปกรณ์เจาะลงไปในดิน
- เหมาะสำหรับพื้นที่ที่น้ำบาดาลอยู่ไม่ลึกมาก (ประมาณ 10-15 เมตร)
- ใช้งานง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องจักรหนัก แต่มีข้อจำกัดเรื่องความลึก
2. การเจาะแบบสกรู (Auger Drilling)
- ใช้สกรูหมุนเจาะดินขึ้นมาเป็นชั้นๆ
- เหมาะสำหรับดินที่มีความแข็งไม่มาก และพื้นที่ที่มีระดับน้ำตื้น
- ความลึกที่สามารถเจาะได้อยู่ที่ประมาณ 15-30 เมตร
3. การเจาะแบบบ่อตอก (Percussion Drilling)
- ใช้เครื่องตอกเหล็กหรือหัวเจาะเพื่อทุบหินหรือดินจนแตกออกมา แล้วดึงเศษดินหรือหินออก
- เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีชั้นหินหรือดินแข็ง สามารถเจาะลึกได้มากกว่า 30 เมตร
- ข้อดีคือเจาะได้ในพื้นที่ยากลำบาก แต่ต้องใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่
4. การเจาะแบบหมุน (Rotary Drilling)
- เป็นวิธีที่ใช้มากในปัจจุบัน โดยใช้เครื่องจักรหมุนหัวเจาะด้วยความเร็วสูง
- เจาะได้ลึกมาก เหมาะกับพื้นที่ที่มีความลึกตั้งแต่ 50 เมตรขึ้นไป
- ใช้ในพื้นที่ที่ชั้นดินและหินมีความหลากหลาย มีระบบหล่อเย็นโดยใช้น้ำหรือโคลนเพื่อระบายความร้อนจากหัวเจาะ
5. การเจาะแบบปั๊มลม (Air Rotary Drilling)
- ใช้แรงดันอากาศในการเจาะและขจัดเศษดินหรือหินออก
- เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีชั้นหินหรือดินแข็งมาก เจาะลึกได้ถึงหลายร้อยเมตร
- เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง แต่มีต้นทุนสูงกว่าแบบอื่น
6. การเจาะแบบไฟฟ้าสถิต (Electric Log Drilling)
- ใช้กระแสไฟฟ้าผ่านอุปกรณ์เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลความต้านทานของดินและหิน
- ช่วยในการวิเคราะห์ชั้นน้ำบาดาลและการคาดการณ์ความลึกได้แม่นยำ
- เป็นการเจาะแบบผสมระหว่างการเจาะแบบหมุนกับการใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ไฟฟ้า
วิธีการเจาะแต่ละแบบขึ้นอยู่กับลักษณะของพื้นที่ งบประมาณ และปริมาณน้ำที่ต้องการ